ขลุ่ยบ้านลาว

กิจกรรมจัดการสารสนเทศท้องถิ่น เพื่อพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชน

ขลุ่ยบ้านลาว

ชาวลาวเวียงจันทน์ที่ถูกกวาดต้อนมาได้นำขลุ่ยและแคนติดตัวมาด้วย เมื่อยามที่คิดถึงบ้านจะนำขลุ่ยและแคนมาเล่นขับกล่อม ด้วยการร้องรำทำเพลงกัน จึงมีการทำขลุ่ยสืบต่อกันมา ซึ่งเป็น “การสืบสานวัฒนธรรมการทำขลุ่ย” โดยอาศัยภูมิปัญญาชาวบ้านมาตั้งแต่ครั้งนั้น จวบจนปัจจุบันยาวนานกว่า 200 ปี

สิ่งที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่งของขลุ่ยบ้านลาว ถือได้ว่าเป็น “ขลุ่ยที่มีคุณภาพชั้นดี มีความประณีต และมีเสียงไพเราะ” อีกทั้งยังมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร คือ ขลุ่ยไม้ลวกที่มีลวดลาย ที่เรียกว่า “ขลุ่ยลายไม้ไผ่ลายดอก” และขลุ่ยไม้ลวกที่ไม่มีลวดลาย ซึ่งเป็นลวดลายที่เกิดจากธรรมชาติของไม้ลวกนั่นเอง

การสืบสานวัฒนธรรมการทําขลุ่ย

ชุมชนบางไส้ไก่บ้านสมเด็จ (หมู่บ้านลาว) อาจไม่ใช่เป็นแหล่งทําขลุ่ยแห่งเดียวในประเทศไทย สันนิษฐานว่ายังมีชุมชนอื่น ๆ ที่ทําขลุ่ยเหมือนกับหมู่บ้านลาว ที่เป็นกลุ่มชนชาวลาวที่อพยพมาจากนครเวียงจันทน์ด้วยกัน เมื่อครั้งสมัยพระเจ้าตากสินแห่งกรุงธนบุรี และสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ซึ่งได้กระจัดกระจายแยกย้ายกันไปตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนในจังหวัดต่าง ๆ ทางภาคกลาง และภาคอีสานของไทยนั่นเอง

ปัจจุบันนี้ยังเหลือบ้านที่ทําขลุ่ยมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นลูกหลานของช่างทําขลุ่ยดั้งเดิมเกือบทั้งสิ้น ได้แก่

  บ้านขลุ่ยอิ่มบุปผา   คุณอุทิศ อิ่มบุปผา

  บ้านขลุ่ยประสงค์   คุณเพิ่มสุข สอนวิทย์

  บ้านขลุ่ยทวีผล   คุณทวีผล สอนวิทย์

  บ้านขลุ่ยบ้านลาว  คุณสุนัย กลิ่นบุปผา

  บ้านขลุ่ยลุงจรินทร์   คุณนิตยา รู้เจียมสิน

  บ้านขลุ่ยมงคล   คุณพรรณธิภา พุทธรักษ์

สิ่งที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่งของขลุ่ยบ้านลาวถือได้ว่าเป็นขลุ่ยที่มีคุณภาพชั้นดี มีความประณีต และมีเสียงที่ไพเราะจนเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปทั้งในประเทศและต่างประเทศ

อีกทั้งยังมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่นไม่เหมือนใครคือ ขลุ่ยไม้ลวกที่มีลวดลาย ที่เรียกว่า “ขลุ่ยลายไม้ไผ่ลายดอก” และขลุ่ยไม้ลวกที่ไม่มีลวดลายซึ่งเป็นลวดลายที่เกิดจากธรรมชาติของไม้ลวกนั่นเอง

การสร้างลาย

ลวดลายของขลุ่ยค่อนข้างหายาก เพราะการทําลวดลายที่ว่านี้จะต้องนําก้อนตะกั่วมาหลอมละลาย แล้วนําน้ำตะกั่วมาเทเผาลายลงบนขลุ่ยไม้ไผ่ ทําให้เกิดเป็นลวดลายชนิดต่าง ๆ

แต่เนื่องจากการทําลวดลายดังกล่าวมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของชาวบ้านในชุมชน จึงเป็นสาเหตุหนึ่งในการเลิกผลิตขลุ่ยลาย ส่งผลให้ขลุ่ยที่มีลวดลายชนิดต่าง ๆ กลายเป็นของหายากและเป็นของสะสมของนักค้าของเก่า

ตัวอย่างลายในอดีต

(1) ขลุ่ยลายหิน   (2) ขลุ่ยลายดอกพิกุล   (3)  ขลุ่ยลายตลก   (4) ขลุ่ยลายดอกจิก

(5) ขลุ่ยลายสอง   (6) ขลุ่ยลายกระจับ   (7) ขลุ่ยลายรดน้ำ   (8) ขลุ่ยลายรมดํา

(9) ขลุ่ยลายหกคะเมน (10) ขลุ่ยขาว (สีธรรมชาติของไม้ลวก)  

 

ในปัจจุบันนี้กระทรวงศึกษาธิการ ได้มีการพัฒนาหลักสูตรพื้นฐานการเรียนการสอน โดยมี การบรรจุ “วิชาการเรียนรู้เรื่องขลุ่ย ” ไว้ในวิชาพื้นฐานระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษาตอนต้น

ดังนั้นแต่ละบ้านจึงได้มีการคิดค้นพัฒนาวัสดุในการทําขลุ่ยขึ้นมา โดยทํามาจาก “ท่อพีวีซี” ทําให้ขลุ่ยประเภทนี้มีราคาย่อมเยา

คุณสุนัย กลิ่นบุปผา (พี่ช้าง) เล่าให้ฟังว่า “ยุคแรกของการทำขลุ่ยนั้นยังไม่ได้มาตรฐาน กระทั่งมีนักวิชาการด้านดนตรีเข้ามาให้ความรู้เรื่อง มาตรฐานเสียง จึงมีการพัฒนาขึ้นตามลำดับ มาถึงรุ่นพ่อผม ซึ่งเป็นรุ่นที่ 3 (ลุงจรินทร์ กลิ่นบุปผา) ก็มีการนำไม้เนื้อแข็งมาใช้ รวมถึงนำเครื่องจักร มาช่วยผลิต ต่างจากสมัยก่อนที่ใช้ไม้รวกเพียงอย่างเดียว”

ขลุ่ยที่ชุมชนบ้านลาวผลิต มีทั้งหมด 5 ประเภท ได้แก่

1. ขลุ่ยหลิบ เป็นขลุ่ยขนาดเล็กที่ใช้ในวงดนตรีไทย

2. ขลุ่ยเคียงออ หรือขลุ่ยกรวด ให้เสียงต่ำกว่าขลุ่ยหลิบ ส่วนใหญ่ใช้เล่นเพลงลูกทุ่งทั่วไป

3. ขลุ่ยเพียงออ เป็นขลุ่ยที่คนส่วนใหญ่รู้จักและอาจเคยเรียนเมื่อตอนเด็กๆ

4. ขลุ่ยรองออ ใช้เล่นในวงปี่พาทย์มอญ ให้เสียงหวาน

5. ขลุ่ยอู้ จะมีแค่ 6 รูโน้ต ต่างจากขลุ่ยทั่วไปที่มี 7 รู เพื่อไม่ให้เสียงไปแข่งกับขลุ่ยประเภทอื่น ขลุ่ยอู้มีไว้เพื่อใช้เป็นเสียงเบส

คลิปขลุ่ยบ้านลาว

ที่มา:
ดวงเดือน  จุลกรานต์.  (2559).  ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนลาว (บางไส้ไก่บ้านสมเด็จฯ) [เอกสารอัดสำเนา]. ม.ป.พ. 
ไตรรัตน์ ทรงเผ่า. (2561, มิถุนายน).  ขลุ่ยบ้านลาว ประวัติศาสตร์ทางดนตรีที่ยังมีลมหายใจ.  นิตยสารบ้านและสวน
     สืบค้นวันที่ 3 พฤษภาคม 2565  https://www.baanlaesuan.com/95025/design/lifestyle/thai_instrument_kui

คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎบ้านสมเด็จเจ้าพระยา Faculty of Humanities and Social Sciences | 02-473-7000 ต่อ 2000